ประวัติ ดิเอโก้ มาราโดน่า ฟุตบอลโลก ในปี 1986 มันคือการคว้าแชมป์ ฟุตบอลรายการ ที่ใหญ่ที่สุด ของโลก แล้วมันเป็นถ้วย ที่นักฟุตบอล ทุกคนปรารถนา ที่จะได้ครอบครอง

ประวัติ ดิเอโก้ มาราโดน่า

ประวัติ ดิเอโก้ มาราโดน่า เด็กหนุ่มจากสลัม ในกรุงบัวโนสไอเรส ที่แสนโสมมสกปรก สถานที่เต็มไปด้วย ยาเสพติตความรุนแรง และอาชญากรรม แต่ใครจะเชื่อว่า เด็กหนุ่ม ที่เกิดมาจากย่านนี้ คือผู้ที่ได้ สัมผัสถ้วย อันทรงเกียรติ

ที่มันมาจาก ผลงานอันร้าวร้อน ของสองแข็ง ระดับที่พระเจ้าได้ประทานพร แต่รู้หรือไม่ว่ามาราโดน่า แจ้งเกิดจาก การเป็นเด็กเก็บบอล เพราะตอนที่เขาอายุ 12 ขวบ มาราโดน่าทำหน้าที่เป็นเด็กเก็บบอล ในสนาม ในเกมลีกนัดหนึ่ง ของอาร์เจนตินา

ซึ่งระหว่างที่เกมส์อยู่ใน ช่วงพักครึ่งเวลา เด็กชายมาราโดน่า ใด้แสดงทักษะ การเล่นหยอกล้อ กับลูกฟุตบอล อยู่บนกลางฟลอหญ้า ด้วยลีลาหน้าตื่นตาตื่นใจ ประหนึ่งว่าลูกฟุตบอล และเด็กคนนี้ เกิดมาเพื่อกันและกัน และด้วยลีลานั้น มันดัน ไปเตะตา แมวมองคนหนึ่ง

ที่เข้ามาชม เกมในนัดนั้น เข้าอย่างจัง จนนำมาสู่การที่เด็กน้อย คนหนึ่งจากย่านสลัมรูหนู ได้เบนชีวิตเข้าสู่เส้นทาง สายนักฟุตบอล หากย้อนกลับไป เมื่อครั้งฟุตบอล ทีมชาติอาร์เจนตินา ผงาดขึ้นบัลลังก์ แชมป์โลกครั้งแรก ในประวัติศาสตร์ ของชนชาติ ที่มีรัฐบุรุษ ที่มีชื่อว่า เซเกโลว่า

เมื่อปี 1978 นั้น ได้มีการเปรียบเปยกันว่า พระเจ้าองค์แรก ของประชาชน ชาวเจนใต คือพระเยซูคริส พระเจ้าลำดับที่ 2 คือ มาริโอ เคมเปส อดีตดาวยิงทีมชาติ ผู้ซัลโวประตู ในเกมนัดชิงฟุตบอล โลกในปี 1978 และพาทีมชาติอาร์เจนติน่า คว้าแชมป์โลก

เหนือทีมชาติเนเธอร์แลนได้ 3 ประตูต่อ 1 และเพียงแค่ 8 ปีถัดมา พระเจ้าลำดับที่ 3 ของชาวฟ้าขาว ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น โดยใช้นามว่า ดิเอโก้ มาราโดน่า มาราโดน่าถือได้ว่า เป็นตัวเทพฟุตบอล ในระดับขึ้นหิ้ง แบบเดียวกับ ที่คนยกย่อง เปเล่ของบราซิล

ประวัติ ดิเอโก้ มาราโดน่า

ซึ่งจนมา ถึงทุกวันนี้ มันก็ยังมี คำถามอยู่เสมอว่า ระหว่างไข่มุกดำเปเล่ กับเสือเตี้ยมาราโดน่า ใครช้ำชอง ในเชิงลูกหนัง มากกว่ากัน

มันเหมือนคำถาม โลกแตกที่ว่า ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกัน แต่หากจะว่ากัน ถึงความโชคโชน ในการตะบันชีวิต แล้วละก็ เห็นทีว่า เรื่องนี้มาราโดน่า จะกินขาดกระจุย หากเปเล่เ ปรียบเสมือนนักฟุตบอล สายขาว ดิเอโก้ มาราโดน่า คงเป็นนักฟุตบอลตัวแทน คนสายเทา ที่พร้อมจะเป็น ได้ทั้งขาวจ้า และดำสนิท ในเวลาเดียวกัน

โดยมาราโดน่า เป็นคน ที่มีหัวฝักใฝ่ ในลัทธิมาร์กซ์ และเกลียดพวก ทุนนิยมอย่างยิ่ง ซึ่งบุคคลที่ มาราโดน่านั้นยกย่อง และเทิดทูน ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นก็คือ เชเกวารา อดีตนักปฏิวัติ ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก และเป็นชาว อาเจนติน่า เหมือนกัน กับมาราโดน่านั้นเอง

มาราโดน่านั้น เลื่อมใสหลงไหล และศรัทธา ในเชจนถึงขั้น เขาสักรูปหน้า ของเชไว้ที่ต้นแขนขวา อีกทางเขาจะสนิท สนมชิดเชื้อกับ ฟิเดล คาสโตร อดีตผู้นำคิวบา ซึ่งเป็นบุคคล ในระดับตำนาน ประวัติศาสตร์โลก ผู้ที่นำคิวบาเปลี่ยนผ่าน เข้าสู่ระบบ สังคมนิยมอย่างเต็มตัว

ซึ่งอาจจะเป็น เพราะว่า ในวัยเด็ก ของมาราโดน่า ที่ต้องใช้ชีวิต คลุกคลีอยู่ในย่านสลัม อันสุดแสน จะยากลำบากลำเคน เขาได้เห็น ได้รับรู้และสัมผัส ความเหลื่อมล้ำ ทางชนชั้น จึงทำให้ เขามองว่า สังคมนิยม คือทางออก ที่ดีที่สุด ที่จะแก้ไขเรื่องราว เหล่านี้ได้

จึงไม่แปลกใจ ที่เสือเตี้ยจะบูชา ผู้นำหัวเอียงซ้ายอย่าง ฟิเดล คาสโตร ความสัมพันธ์ ระหว่างฟิเดลกับมาราโดน่า เริ่มจากการที่ เสือเตี้ย ได้เดินทาง ไปยังคิวบา เพื่อเข้ารับการรักษาบำบัด อาการติดโคเคน ที่เรื้อรังมานาน ที่อาจจะพาก ชีวิตของมาราโดน่า

ให้ลาโลกก่อนวัยอันควร เนื่องจากเหตุผล เรื่องความทันสมัย ของวงการแพทย์ ในประเทศ คิวบาแล้วนั้น อีกเหตุผลหนึ่งนั้น ก็เพราะว่ามาราโดน่า จะได้มีโอกาส ในการพบเจอกับ ฟิเดล คาสโตร ซักครั้งหนึ่ง ซึ่งนั่นทำให้ เป็นจุดเริ่มต้น ในการ ทำความรู้จักกัน

ระหว่างสองคนนี้ นอกจากรูปรอยสักหน้า เชเกวารา บนต้นแขนขวา ของมาราโดน่า ยังมีรอยสัก รูปหน้าของ ฟิเดล คาสโตร ที่ขาซ้ายอีกด้วย โดยตัวของ ฟิเดล คาสโตร ยังเคยกล่าว ยกย่องเชิดชูมาราโดน่า ว่าเป็นบุคคล ที่น่ายกย่อง ในแง่ของความ เป็นนักสู้

เรียกได้ว่า ต่างคนต่างให้ ความเคารพ ซึ่งกันและกัน ก็ว่าได้ จนวันสุดท้าย ในชีวิตของ ฟิเดล คาสโตร ที่ลาโลกไป หยั่งไม่หวนคืนกลับ เมื่อตอนปลายปี 2016 ที่ผ่าน มามาราโดน่า ที่ทราบข่าว การเสียชีวิตของ คาสโตร เขาถึงขั้น หลังน้ำตาปล่อยโฮออกมา อย่างไม่อายใคร

ประวัติ ดิเอโก้ มาราโดน่า

โดยเสือเตี้ยได้กล่าวไว้ว่า มันเหมือนกับว่า เขาได้สูญเสียบุคคล ซึ่งเปรียบเสมือน พ่อคนที่สอง ในชีวิตของเขาไป

นอกจากเรื่องราว พวกนั้นแล้ว สิ่งที่นิยามความเป็น นักฟุตบอลสายเทา ของเสือเตี้ยได้ดี คงเป็นการที่มาราโดน่านั้น มีความสนิทสนม กลมเกลียว กับเหล่าแก๊งมาเฟีย เมื่อครั้งที่มาโลดแล่น และใช้ชีวิต เป็นนักฟุตบอล อยู่ที่เมืองเนเปิ้ล สโมสร นาโปลี

และมีข่าวที่ว่ากันว่า มาราโดน่านั้น มีความแน่นแฟ้น กับ ปาโบล เอสโคบาร์ อดีตราชายาเสพติด โคลัมเบีย ที่เคยเชื้อเชิญ ให้มาราโดน่า ไปร่วมนั่งทานข้าว และเสพสุรา เคล้านารี แล้วเตะฟุตบอลด้วยกัน เหตุผลว่า เอสโคบาร์นั้น คือแฟนตัวยง ของดีเอโก้มาราโดน่านั้นเอง

วีรกรรมของ มาราโดน่านั้น เยอะแยะเต็มไปหมด เขาใช้พรสวรรค์ ในเชิงลูกหนัง ซึ่งพระเจ้าได้ประทานให้ พาชาติบ้านเกิด ครองแชมป์โลก สมัยที่ 2 สู่การเป็น ผู้ติดยาคนบ้า ที่เหมือนจะหลุดโลก แต่สิ่งที่ควรยกย่อง ในโลกคือ จุดยืนและแนวทาง ในความคิดความเชื่อ

และการใช้ชีวิต ที่มาราโดน่านั้น ชัดเจนเสมอ แบบไม่เคย คลอนแคลน และนับตั้งแต่ ที่แฟนบอล ชาวอาเจนติน่า เปลี่ยนนามพระเจ้า จากมาริโอเคมเปส มาสู่ ดิเอโก้ มาราโดน่า เมื่อปี 1986 จากวันนั้นจนวันนี้ เป็นระยะเวลา 30 กว่าปีแล้ว ที่นิวดิเอโก้มาราโดน่า

เกิดขึ้นมากมาย หลายต่อหลายคนบ้างก็ล้มเหลว บ้างก็ประคองตัวได้ และดูเหมือน ที่ใกล้เคียงที่สุด คือ ลิโอเนล เมสซี่ ที่ผู้คนต่างเชื่อกันว่า อาจจะทำให้ ชาวอาเจนติน่า ต้องเปลี่ยนนาม พระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็อย่างที่ เราเห็นกัน แม้ว่าลิโอเนล เมสซี่

จะเก่งฉกาจ เชิงฟุตบอลเพียงใด ทำลายสถิติ มากมายแค่ไหน แต่สิ่งเดียว ที่ทำให้เมสซี่ ยังไม่อาจทาบชั้น ได้เลย นั้นก็คือ การแบกทีมชาติ อาเจนติน่า สู่บัลลังค์แชมป์ โลกสมัยที่ 3 ของชาติ นั้นเอง และด้วยอายุ ชองเมสซี่ ปัจจุบันนี้ อาจจะทำให้

อดคิดไม่ได้จริง ๆ ว่าชาวอาเจนติน่า ต้องรอพระเจ้า องค์ใหม่ ไปอีกนานแค่ไหน ซึ่งมีแค่ การเวลาเท่านั้น ที่จะตอบ คำถามนี้ได้ แต่นี่คือ เรื่องราวส่วนหนึ่ง ในชีวิตของชาย ที่มีชื่อว่า ดิเอโก้มาราโดน่า ที่ทางเรา ได้รวบรวม ข้อมูลมาให้ท่าน รับชม ผลบอลบุนเดสลีกาเมื่อวาน ขอขอบพระคุณครับ